เจนจัดชัดเจน : เมื่อยาบ้า...ร้ายน้อยกว่าเหล้า สํานักข่าวไทย 26 June 2016

ถอด”ยาบ้า”จากยาเสพติด ดีจริงหรือ? Mono29, 25 June 2016

สธ.เปิดห้องปฏิบัติการพิษวิทยา ตรวจสารกำจัดศัตรูพืชกว่า 500 ชนิดแห่งแรกของไทย


เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ เปิดห้องปฏิบัติการพิษวิทยากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์   ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการแห่งแรกของไทย ที่สามารถตรวจสารกำจัดศัตรูพืชได้ไม่น้อยกว่า 500 ชนิด  รองรับการส่งออกผักผลไม้ไทยจำหน่ายต่างประเทศ ว่า จากกรณีที่สหภาพยุโรป (อียู) ส่งคืนผักผลไม้ของไทย เนื่องจากตรวจพบสารกำจัดศัตรูพืช ทำให้รัฐบาลไทยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการพิษวิทยาขึ้น ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการแห่งแรก และแห่งเดียวในประเทศไทยที่สามารถตรวจสารกำจัดศัตรูพืชได้ไม่น้อยกว่า 500 ชนิด ตามที่อียูกำหนด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับห้องปฏิบัติการพิษวิทยา หรือศูนย์พิษวิทยา ตั้งอยู่ที่อาคาร 9 สังกัดสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนาองค์ความรู้ และเทคโนโลยีทางห้องปฏิบัติการด้านพิษวิทยา และชีวเคมี พัฒนาการตรวจวิเคราะห์สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างน้อย 500 ชนิด ในผักและผลไม้เพื่อการส่งออก และการพิสูจน์เห็ดพิษด้วยวิธีดีเอ็นเอบาร์โค้ด  รวมถึงเป็นผู้ดำเนินแผนทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการด้านพิษวิทยา นอกจากนี้ ยังเป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิง และเป็นศูนย์ข้อมูลด้านพิษวิทยาให้การสนับสนุนด้านวิชาการและการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ห้องปฏิบัติการเครือข่าย ตลอดจนนำองค์ความรู้ด้านพิษวิทยาสื่อสารเตือนภัยสุขภาพให้กับประชาชน

ทั้งนี้ ห้องปฏิบัติการพิษวิทยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะเปิดให้บริการตรวจผักผลไม้ ในเร็วๆ นี้  ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี โทร.02-9510000 ต่อ 99717,  99492, 99722

ที่มา : มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news/252312

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวังคุณภาพนมโรงเรียนทั่วประเทศ


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าระวังคุณภาพนมโรงเรียนทั้งชนิดพาสเจอร์ไรส์และยูเอชทีทั่วประเทศ โดยตรวจวิเคราะห์ทางด้านโภชนาการและด้านจุลชีววิทยา เพื่อควบคุมคุณภาพและคุ้มครองผู้บริโภคให้เด็กนักเรียนไทยได้ดื่มนม ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย
นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 ศูนย์ทั่วประเทศ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุขทั่วประเทศ ได้ร่วมกันเฝ้าระวังคุณภาพของนมโรงเรียนทั้งชนิดพาสเจอร์ไรส์และยูเอชที โดยตรวจวิเคราะห์ทั้งด้านโภชนาการ ได้แก่ เนื้อนมไม่รวมไขมัน ไขมัน และโปรตีน และด้านจุลชีววิทยา ได้แก่ จำนวนแบคทีเรียทั้งหมด จุลินทรีย์บ่งชี้สุขลักษณะการผลิต เช่น เชื้อโคลิฟอร์ม (Coliform) และเชื้ออีโคไล (E. coli) และเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ เช่น เชื้อบาซีลัส ซีเรียส (Bacillus cereus) เชื้อลิสทิเรีย โมโนไซโตจิเนส (Listeria monocytogenes) เชื้อซาลโมเนลล่า (Salmonella spp.) และเชื้อสเเตปฟิโลคอกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureusตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 350 (พ.ศ. 2556) เรื่องนมโค ซึ่งในช่วงปี 2555-2558 ได้ตรวจวิเคราะห์นมโรงเรียน จำนวน 1,750 ตัวอย่าง (ชนิดพาสเจอร์ไรส์ 1,190 และยูเอชที 560 ตัวอย่าง) ผลการตรวจ พบว่า ไม่ได้มาตรฐาน 436 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 24.9 ในจำนวนนี้เป็นนมชนิดพาสเจอร์ไรส์ 321 ตัวอย่าง และยูเอชที 115 ตัวอย่าง สาเหตุที่ไม่ได้มาตรฐานเนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์ด้านโภชนาการ 290 ตัวอย่าง ด้านจุลชีววิทยา 95 ตัวอย่าง และไม่ผ่านเกณฑ์ทั้งด้านโภชนาการและจุลชีววิทยา 51 ตัวอย่าง ด้านโภชนาการส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเนื้อนมไม่รวมไขมันต่ำกว่ามาตรฐาน ทางด้านจุลชีววิทยาพบว่านมชนิดพาสเจอร์ไรส์ไม่ผ่านเกณฑ์เนื่องจากจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดสูงกว่ามาตรฐาน ร้อยละ 6.9 จุลินทรีย์ที่บ่งชี้สุขลักษณะการผลิตที่ไม่ดี ร้อยละ 3.1 และเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ ร้อยละ 3.8 ขณะที่ชนิดยูเอชที่ไม่ผ่านเกณฑ์ เนื่องจากพบแบคทีเรียทั้งหมดสูงกว่ามาตรฐาน ร้อยละ 2.9  เชื้อโรคอาหารเป็นพิษ ร้อยละ 0.9
จากข้อมูลการตรวจพบนมโรงเรียนที่ไม่ได้มาตรฐานนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อร่วมมือกันวิเคราะห์หาสาเหตุปัญหาคุณภาพนมโรงเรียนและเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาอย่างจริงจัง สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคนมโรงเรียนว่ามีความปลอดภัย เด็กไทยมีโภชนาการที่ดีมีพัฒนาการที่สมวัยและไม่มีเด็กที่จะต้องได้รับผลกระทบจากนมที่ไม่ได้คุณภาพและไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
นายแพทย์อภิชัย กล่าวต่ออีกว่า ข้อแนะนำในการดื่มนมให้ได้ประโยชน์และปลอดภัย นมพาสเจอร์ไรส์ เป็นนมที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อน เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคและลดปริมาณจุลินทรีย์ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค จึงต้องเก็บที่อุณหภูมิไม่เกิน 8 องศาเซลเซียส เก็บได้นาน 7-10 วัน และมีการควบคุมอุณหภูมิในการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม ตั้งแต่โรงงานผลิต ระหว่างการขนส่งนมไปยังโรงเรียน จนถึงการเก็บรักษาที่โรงเรียนก่อนแจกจ่ายให้นักเรียนดื่ม และก่อนดื่มควรสังเกตเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำนมมีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน และมีสี กลิ่น รสปกติ ส่วนนมยูเอชทีเป็นนมที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 133 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายจุลินทรีย์ จึงสามารถ เก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นาน 6-9 เดือน แต่ไม่ควรเก็บนมไว้ที่อุณหภูมิสูง และไม่วางกล่องนมให้ถูกแสงแดดโดยตรง ในการขนส่งและเก็บรักษา ควรบรรจุกล่องนมในลังกระดาษและไม่ซ้อนลังหลายชั้น เพราะกล่องนมอาจเสียหาย เกิดรอยรั่วซึม ทำให้เชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในกล่องนมทำให้นมเสียได้ และเมื่อเปิดกล่องแล้วดื่มไม่หมด ควรนำนมที่เหลือไปเก็บไว้ในตู้เย็นและดื่มให้หมดภายใน 3-5 วัน

“จีเอชบี” ภัยร้ายสำหรับผู้หญิง



กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  กระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้หญิงให้ระวังภัยจาก “จีเอชบี” ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้ม นอนหลับ หมดสติ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้  ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ เพื่อมอมยา และล่วงละเมิดทางเพศ โดยเฉพาะในสถานบันเทิง
       นายแพทย์อภิชัย  มงคล  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  กล่าวว่า  จีเอชบี (Gamma-hydroxybutyrate) จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 แต่เนื่องจากมีผลข้างเคียงของยามาก และมีการนำมาใช้ในทางที่ผิดเพิ่มขึ้น ทำให้ถูกเพิกถอนทะเบียนไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ปัจจุบันยังพบการใช้จีเอชบีในสถานบันเทิง มักถูกนำมาใช้ทดแทนยาอี เนื่องจากมีฤทธิ์ใกล้เคียงกัน
        จีเอชบีมีทั้งที่เป็นผง เม็ด ในรูปแบบยา หรือในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่พบส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสีและกลิ่น เมื่อรับประทานจีเอชบีเข้าไปจะทำให้เคลิบเคลิ้ม นอนหลับ ออกฤทธิ์ได้ภายใน 5-20 นาที และออกฤทธิ์นาน 1.5-3 ชั่วโมง 
ถ้าใช้จีเอชบีร่วมกับแอลกอฮอล์หรือยากดประสาทอื่นๆ จะทำให้ฤทธิ์ของยาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดอาการชัก กดการหายใจ หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ ในต่างประเทศพบรายงานการเสียชีวิตจากการใช้จีเอชบีค่อนข้างสูง รวมถึงพบการใช้สารที่มีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกับจีเอชบี ได้แก่ จีบีแอล (Gamma-butyrolactone) และ 1,4-บิวเทนไดออล ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนให้เป็นจีเอชบี และทำให้เสพติดได้
         นายแพทย์อภิชัย  กล่าวต่ออีกว่า  ในปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักยาและวัตถุเสพติด ได้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างของเหลวใส ไม่มีสี เพื่อดำเนินคดี จำนวน 7 ตัวอย่าง ผลการตรวจไม่พบจีเอชบี แต่พบจีบีแอล 1 ตัวอย่าง และ 1,4-บิวเทนไดออล 6 ตัวอย่าง ทั้งนี้จีบีแอล และ 1,4-บิวเทนไดออล จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ไม่มีการควบคุมเป็นยาเสพติดตามอนุสัญญาสหประชาชาติ
และการควบคุมทางกฎหมายจะแตกต่างกันในหลายประเทศ
           “จากข้อมูลการตรวจพิสูจน์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะพบว่านอกจากภัยร้ายสำหรับผู้หญิงจากการใช้จีเอชบีในทางที่ผิดแล้ว ยังพบแนวโน้มที่จะใช้จีบีแอล และ 1,4-บิวเทนไดออลอีกด้วย และคาดว่าจะใช้ทดแทน จีเอชบีที่มีการควบคุมที่เข้มงวดกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยหญิงสาวไม่ควรเที่ยวในสถานบันเทิงเพียงคนเดียว ควรมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ไปด้วย และระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่ม โดยเฉพาะจากคนแปลกหน้า เพื่อป้องกันภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้” นายแพทย์อภิชัย กล่าวทิ้งท้าย

กรมวิทย์ฯ เชิดชูชุมชนต้นแบบ แจ้งเตือนภัยสุขภาพ สร้างความตระหนักรู้ผ่าน อสม.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน



กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ มูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และแผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คัดเลือกหน่วยงานต้นแบบการพัฒนางานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ระดับประเทศ ประจำปี 2559    
นายแพทย์อภิชัย  มงคล  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาคัดเลือกหน่วยงานต้นแบบการพัฒนางานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนในสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และสถานีอนามัยพระราชทานนาม ระดับประเทศ ประจำปี 2559 ว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้จัดตั้ง Single Window เตือนภัย หรือ “หน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ” ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดย ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งในสังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการตรวจยืนยันวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคจะแจ้งข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแจ้งเตือนภัยทาง “หน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ”  (www.tumdee.org/alert)  เชื่อมโยงกับงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพในชุมชนของสถานีอนามัย เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และสถานีอนามัยพระราชทานนาม อย่างเป็นรูปธรรม โดยมี “ศูนย์แจ้งเตือนภัย เฝ้าระวัง และรับเรื่องร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน” ต้นแบบในขณะนี้ 120 แห่ง มี อสม.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ประมาณ 3,000 คน    ซึ่งเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม ความรู้ทักษะการใช้ชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำหน้าที่เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในชุมชน สอดส่องดูแลการแพร่กระจายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่สุ่มเสี่ยง เพื่อแจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่ และที่สำคัญ คือ การให้ความรู้ต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน และคนในชุมชนที่ตนเองดูแล
“ศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และสถานีอนามัยพระราชทานนาม” ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นหน่วยงานต้นแบบ ระดับภาค ในปี พ.ศ. 2559 จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ ภาคกลาง คือ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี บ้านน้ำใส ต.น้ำเป็น อ.เขาชะเมา จ.ระยอง  ภาคเหนือ คือ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี บ้านกลาง ต.บ้านกลาง อ.วังทอง จ.พิษณุโลกภาคใต้ คือ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี บางม่วง ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี นาม่วง ต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ขอแสดงความยินดีกับสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี ทั้ง 4 แห่งที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นต้นแบบในระดับภาค ประจำปี 2559 นี้ด้วย
นายแพทย์อภิชัย กล่าวต่ออีกว่า การที่ อสม. นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ของศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ แต่ละแห่ง ได้รับปลอกแขนความสามารถเป็นเครื่องยืนยันความสามารถในการใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ถือเป็นก้าวใหม่ในการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน  นำข้อมูล “หน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ” เฝ้าระวังภัยในชุมชนตนเอง สร้างความตระหนักรู้ให้สมาชิกไม่เป็นเหยื่อ หลงเชื่อ หลงใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย และชุมชนกำหนดมาตรการป้องกันจัดการปัญหาภัยสุขภาพโดยมติของประชาคม โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะส่งเสริมสนับสนุนทั้งด้านองค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี่ที่เหมาะสมให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทุกแห่ง มีศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ ในชุมชน   สร้าง อสม.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนมีขีดความสามารถจัดการสุขภาพตนเองได้อย่างยั่งยืน

กรมวิทย์ฯ ร่วมกับ WHO จัดประชุมครั้งแรกของโลกให้ความรู้ความเข้าใจและแนวทางการควบคุมคุณภาพวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแก่หน่วยงานควบคุมกำกับภาครัฐและผู้ผลิตวัคซีนของแต่ละประเทศ




กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สถาบันชีววัตถุ ร่วมกับ องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง“WHO Workshop on Implementation of Recommendation to Assure the Quality, Safety and Efficacy of Recombinant Human Papillomavirus Virus-Like Particle Vaccines ครั้งที่ 1” เพื่อให้บุคลากรของหน่วยงานควบคุมกำกับภาครัฐ  รวมถึงผู้ผลิตวัคซีนของแต่ละประเทศมีความเข้าใจ สามารถนำความรู้ไปใช้และให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติ   ขององค์การอนามัยโลกในการควบคุมกำกับคุณภาพวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีน HPV
                   
นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เชื้อไวรัส HPV เป็นไวรัสที่พบมากที่สุด  ของการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ทั้งในหญิงและชายและเป็นสาเหตุการเกิดมะเร็งปากมดลูก แม้ว่าส่วนใหญ่ของการติดเชื้อ HPV ไม่ก่อให้เกิดอาการหรือโรค แต่หากติดเชื้อถาวรในสายพันธุ์ที่ก่อโรค ส่งผลให้เกิดโรคเช่นกัน การให้วัคซีนเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพสูงนั้นจะต้องให้ในวัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPVได้ ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกได้ปรับปรุงแนวทางการควบคุมกำกับคุณภาพและความปลอดภัยของวัคซีน HPV ให้ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการปรับปรุงข้อกำหนดทางเทคนิคของวัคซีน HPV ให้มีข้อมูลควบคุมตั้งแต่การผลิต การควบคุมคุณภาพ จนถึงการวิจัยทางคลินิก เพื่อประเมินคุณภาพองค์ประกอบที่เป็นวัคซีนรวมหลายสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส HPV ที่มีการผลิตในหลายประเทศและอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัยทางคลินิก การประชุมเชิงปฏิบัติการนี้ได้จัดขึ้นเพื่อให้หน่วยงานควบคุมกำกับภาครัฐและผู้ผลิตมีความเข้าใจในแนวทางขององค์การอนามัยโลก และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างหน่วยงานควบคุมกำกับภาครัฐและผู้ผลิตของแต่ละประเทศ ส่งเสริมการดำเนินการตามคำแนะนำที่สอดคล้องกัน
                นายแพทย์อภิชัย กล่าวต่ออีกว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สถาบันชีววัตถุ ร่วมกับ องค์การอนามัยโลก จัดการประชุมดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ให้ความรู้ในเรื่องของการวิจัยทางคลินิกของวัคซีนที่มีการขึ้นทะเบียนแล้ว ในหลายประเทศ เช่น วัคซีน HPV ชนิด bivalent (Type 16 และ 18) และวัคซีน HPV ชนิด quadrivalent (type 6, 11, 16 และ 18) รวมถึงวัคซีน HPVชนิด 9-valent (type 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45 52 และ 58) และวัคซีน HPV ที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยทางคลินิกจากประเทศอินเดีย และ จีน เป็นต้น ตลอดจนพิจารณากรณีศึกษาการวิจัยทางคลินิก เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ ในการประเมินคุณภาพประสิทธิภาพและความปลอดภัยตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก
                 ผู้เข้าประชุมประกอบด้วยบุคลากรจากหน่วยงานควบคุมกำกับภาครัฐรวมถึงผู้ผลิตวัคซีนของแต่ละประเทศผู้แทนจากองค์การอนามัยโลก ผู้แทนจากประเทศบังคลาเทศ เบลเยี่ยม ภูฐาน อังกฤษ อินเดีย  อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย จีน เนปาล ศรีลังกา เวียดนาม และไทย รวมทั้งสิ้น 45 คน โดยมีเจ้าหน้าที่จากองค์การอนามัยโลกสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO SEARO) ระดับภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก (WHO WAPRO) และระดับภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก (WHO EMRO) ร่วมด้วย

หมอชี้น้ำดื่มขวดพลาสติกเก็บในรถนานๆไม่ก่อสารพิษ ทดลองแล้ว อย่าหลงเชื่อโลกออนไลน์ - มติชนออนไลน์

วันที่ 2 มิถุนายน นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวจากสื่อสังคมออนไลน์เตือนให้หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกที่เก็บในหลังรถยนต์และจอดกลางแดดโดยมีโอกาสได้รับสารไดออกซินที่แพร่ออกมาจากขวดน้ำพลาสติกเนื่องจากอากาศร้อนจัดอาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งอื่นๆ ได้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นกลัวถึงอันตรายจากการดื่มน้ำบรรจุ ขวดพลาสติก

 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ซึ่งมีภารกิจ ในการวิเคราะห์ วิจัยทางด้านไดออกซิน น้ำดื่ม และวัสดุสัมผัสอาหาร  ชี้แจงข้อมูลดังกล่าวเพื่อให้ความรู้ผู้บริโภคดังนี้ สารไดออกซิน (Dioxins) เป็นชื่อกลุ่มสารที่มีโครงสร้างและสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกัน ประกอบด้วย สารกลุ่มโพลี คลอริเนตเตท ไดเบนโซพารา ไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-para-dioxins: PCDDs) สารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตท ไดเบนโซ ฟูแรน (Polychlorinated dibenzo furans: PCDFs) และสารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตทไบฟีนิล ที่มีสมบัติคล้ายสารไดออกซิน (Dioxins–like polychlorinated biphenyls: DL-PCBs) ซึ่งกลุ่มสารไดออกซินที่ก่อให้เกิดพิษมี 29 ตัว และสารแต่ละตัวจะมีค่าความเป็นพิษแตกต่างกัน  
  
นพ.อภิชัย กล่าวว่ากระแสข่าวเรื่องไดออกซินละลายออกมาจากขวดบรรจุน้ำดื่มเมื่อวางไว้ในที่ร้อนๆ เช่น หลังรถยนต์นั้น เป็นเหมือนเรื่องเล่าต่อๆ กันมาโดยปราศจากแหล่งข้อมูลที่แน่ชัด ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่เคยมีรายงานการตรวจพบไดออกซินในพลาสติก และสารเคมีต่างๆ ที่มีการกล่าวอ้างว่าละลายออกมาจากขวดพลาสติกทั้งในสภาวะอุณหภูมิสูงหรือสภาวะการแช่แข็ง ซึ่งไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าเกิดขึ้นได้ 

ความจริงคือขวดพลาสติกขนาดเล็ก ปัจจุบันมีอยู่2ชนิดคือขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติกชนิด PE (พอลิเอทิลีน) และขวดใสไม่มีสีทำจากพลาสติกชนิด PET (พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต)ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่าขวดแบบขาวขุ่น 

สำหรับขวดบรรจุน้ำชนิดเติมซึ่งมีการบรรจุซ้ำจะเป็นขวดความจุประมาณ 20ลิตรมี3 ชนิด คือขวดสีขาวขุ่นทำจากพลาสติก  ชนิด PP (พอลิพรอพิลีน) ขวดใส สีฟ้าอ่อน หรือสีเขียวอ่อน ทำจากพลาสติกชนิด PC (พอลิคาร์บอเนต) และขวดพลาสติกชนิด PET พลาสติกเหล่านี้ไม่มีสารคลอรีน เป็นองค์ประกอบที่จะเป็นต้นกำเนิดของไดออกซิน หรือถึงแม้ว่าพลาสติกชนิดอื่น เช่น พอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ แต่อุณหภูมิของน้ำในขวดไม่ได้สูงมากพอที่จะท้าให้เกิดสารไดออกซินขึ้นมาได้ อีกทั้งไม่นิยมใช้เพื่อบรรจุน้ำบริโภค
   
 "เพื่อความชัดเจน ห้องปฏิบัติการไดออกซิน สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ได้ทำการทดลองโดยซื้อตัวอย่างน้ำดื่มที่บรรจุในขวดพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีน พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต พอลิพรอพิลีน พอลิคาร์บอเนต และพอลิไวนิลคลอไรด์ที่จำหน่ายในตลาดสดและซุปเปอร์มาเก็ต จำนวน 18 ยี่ห้อ  และนำไปวางในรถที่จอดกลางแดดเป็นเวลา 1 วัน และ 7 วัน จากนั้นตรวจวิเคราะห์สารประกอบกลุ่มไดออกซิน 17 ตัว และพีซีบี  18 ตัว 

โดยใช้เทคนิคขั้นสูง Isotope Dilution และวัดปริมาณด้วยเครื่องมือ High Resolution Gas Chromatography/High Resolution Mass Spectrometry ผลการวิเคราะห์สรุปว่า ตรวจไม่พบ สารประกอบกลุ่มไดออกซินและพีซีบีในทุกตัวอย่าง ดังนั้น จึงอยากเตือนผู้บริโภคควรพิจารณาแหล่งของข่าวสารต่างๆ ที่ได้รับจากสื่อสังคมออนไลน์และตรวจสอบที่มาด้วยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ" อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าว
   
อนึ่ง สารไดออกซินเป็นผลผลิตทางเคมีที่เกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ แหล่งกำเนิดสำคัญของสารกลุ่มนี้คือกระบวนการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ อุตสาหกรรมผลิตยาฆ่าแมลง เป็นต้น หรือกระบวนการเผาไหม้อุณหภูมิสูงทุกชนิด เช่น เตาเผาขยะทั่วไป เตาเผาขยะจากโรงพยาบาล เตาเผาศพ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง และการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น การสร้างกลุ่มสาร ไดออกซินจากการเผาไหม้จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิประมาณ 200-550 องศาเซลเซียส และจะเริ่มถูกทำลายเมื่ออุณหภูมิ 850 องศาเซลเซียสขึ้นไป ทำให้มีการปลดปล่อยและสะสมสารกลุ่มนี้ในสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ดิน หรือน้ำ ซึ่งสามารถปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้

ที่มา : มติชนออนไลน์

ถามตรงๆ กับจอมขวัญ : แป้ง = มะเร็ง กับ นพ.อภิชัย มงคล | 25-02-59 | ไทยรั...

`แตงโม` แดงจัดฉีดสีหรือไม่


         ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตว่าแตงโมที่มีสีแดงเข้มและหวานจัดอาจจะมีการฉีดสีหรือสารให้ความหวานนั้น แม้จะมีคนโพสต์ต่อว่าเป็นข้อมูลมั่ว แต่หลายคนก็ยังมีข้อกังขาอยู่
          เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า ช่วงหน้าร้อนคนกินแตงโมเยอะ กินไปกินมาก็มีข้อสงสัยว่า ทำไมหวานดี หวานจัด สีแดงมาก และมีข้อสงสัยอยู่เรื่อย ๆ ว่าใส่สีหรือเปล่า เพิ่มสารให้ความหวานเข้าไปหรือเปล่า เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตราย
          เรื่องนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เคยทำการศึกษามาแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำตลอดเวลา ซึ่งผลการศึกษาก่อนหน้านั้น ได้ทำการตรวจวิเคราะห์สีสังเคราะห์ในแตงโมที่เก็บตัวอย่างมาจากหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีส้ม สีชมพู ก็ไม่พบสีสังเคราะห์แต่อย่างใด
          ส่วนความหวานที่สงสัยว่าใส่วัตถุหรือสารให้ความหวานลงไปหรือเปล่า ผลการตรวจวิเคราะห์ก็ไม่พบสารให้ความหวาน ไม่ว่าจะเป็น ซัคคาริน, อะซีซัลเฟม เค, แอสปาแตม และไซคลาเมต อย่างไรก็ตามได้ทำการตรวจวิเคราะห์สารต้องสงสัยทุกชนิดปรากฏว่าไม่พบเช่นเดียวกัน
          จากผลการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่า แตงโมไทยไม่มีการใช้สีสังเคราะห์เพื่อให้สีสดสวย และไม่มีการใช้วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลหรือน้ำตาลทราย เพื่อเพิ่มความหวานแต่อย่างใด
          นักวิทยาศาสตร์ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้ความเห็นว่า ผลไม้จะมีลักษณะป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ถ้าเกิดมีใครแผลงฉีดสารอะไรเข้าไปในแตงโมจะทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างรวดเร็ว และทำให้แตงโมเน่าและเสียง่าย ดังนั้นจึงไม่คุ้มค่าที่จะทำเช่นนั้น
          ความหวานและสีของแตงโมไทยเป็นคุณสมบัติเด่นของผลไม้โดยแท้ ระหว่างการเพาะปลูก เกษตรกรจะใช้เทคนิค เช่น ลดการให้น้ำ ให้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ก่อนเก็บเกี่ยว ทำให้แตงโมมีรสหวานและสีสดสวยตามธรรมชาติ โดยเฉพาะหน้าร้อนแตงโมจะมีสีเข้มมาก
          นอกจากการตรวจวิเคราะห์หาสีสังเคราะห์ และสารให้ความหวานซึ่งไม่พบแล้ว กรมวิทยา ศาสตร์การแพทย์ยังได้ตรวจวิเคราะห์ปริมาณการตกค้างของสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามผิวของแตงโม ปรากฏว่าพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่ แต่พบในปริมาณต่ำ ไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด แต่เพื่อความปลอดภัยก่อนนำแตงโมไปผ่ารับประทาน หรือพ่อค้าแม่ค้านำไปผ่าขายโดยหั่นเป็นชิ้น ๆ ใส่ถุง ควรล้างเปลือกให้สะอาดก่อน จะทำให้ลดปริมาณสารพิษตกค้างทำให้ปลอดภัยจากการได้รับสารพิษตกค้างด้วย
          สรุปว่า แตงโมไทยมีความปลอดภัย ไม่มีการฉีดสี หรือสารให้ความหวาน ผู้บริโภคสบายใจได้ในการรับประทานแตงโมไทย ผลไม้ที่มีประโยชน์และปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรไทยอีกทางหนึ่งด้วย


          ที่มา : เว็บไซต์เดลินิวส์
          ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต

ข่าวสัมภาษณ์เรื่อง เนื้อแปรรูป และมะเร็งลำใส้ใหญ่ ช่อง 9


น้ำขวดตากแดดเสี่ยงมะเร็ง?


นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันว่าจากการทดลองตรวจไม่พบสารไดออกซิน ที่เป็นตัวก่อมะเร็งเลยแม้แต่นิดเดียว โดยสารไดออกซิน ที่พบอาจเกิดจากกระบวนการเผา –อุณหภูมิ – สารตั้งต้น และจากการตรวจสอบทราบว่ากระบวนการผลิตขวดน้ำในปัจจุบันไม่ได้มีคลอรีนเป็นส่วนประกอบ


โดยข่าวลือที่ออกมานั้น มีต้นต่อมาจากต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2002ก่อนจะลามมาไทย ทำให้กรมฯ วิทย์ต้องออกมาพิสูจน์ให้เห็น โดยทดลองน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกจำนวน 18 ยี่ห้อ 5 ประเภท ทั้งขวดใส ขวดขุ่น ขวดใหญ่ มาทิ้งไว้ในสถานการณ์จริง ตากแดด 7 วัน ก่อนนำไปทดสอบใน Labตรวจทั้งหมด 35 อย่าง แต่ไม่พบเลย


ทั้งนี้ข่าวลือที่เกิดขึ้น คือ กลัวการเป็นมะเร็ง  มีผลต่อฮอร์โมนเพศ เบาหวาน ฯลฯ ซึ่งในต่างประเทศมีการตรวจสอบแล้วไม่พบ พร้อมชี้ว่าสิ่งที่ประชาชนควรกังวล คือ การดื่มน้ำไม่เพียงพอ เชื้อโรคจากสิ่งอื่นๆ เช่น น้ำแข็ง ไม่ใช่สารก่อมะเร็งตามที่ลือ ย้ำกรณีน้ำดื่ม-น้ำขวดนี้ ปัญหาแบคทีเรียน่ากังวลกว่าสารเคมี


สำหรับ “น้ำขวด” มีวันหมดอายุ โดยปกติอยู่ที่ 2 ปี ในภาชนะที่บรรจุ ที่อาจเกิดรอยรั่วหรือแตก ได้ ตามโครงสร้างของพลาสติก แต่ไม่อยากให้วิตกกังวลเกินไป แนะนำหากเปิดขวดดื่มแล้ว ควรดื่มให้หมดภายใน 1-2 วัน ถ้าเปิดดื่มยกซดแล้วทิ้งไว้ 7 วัน ไม่ได้ เพราะเป็นการเพาะเชื้อแล้ว ดังนั้นควรดื่มให้หมด


นอกจากนี้ ขวดน้ำพลาสติก ถูกออกแบบให้ใช้เพียงครั้งเดียว ไม่ควรใช้ซ้ำหลายครั้ง เพราะจะไม่สามารถทำความสะอาดได้ อาจก่อให้เกิดเชื้อโรค

ที่มา: http://morning-news.bectero.com/jaokhoden/03-Jun-2014/18715

ผลการตรวจน้ำส้มคั้นบรรจุในภาชนะปิดสนิท


สำนักสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผยผลตรวจตัวอย่างน้ำส้มคั้นบรรจุขวด พบไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกตัวอย่าง

ายแพทย์อภิชัย  มงคล  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  กล่าวว่า  จากการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำส้มคั้นสดในภาชนะปิดสนิท ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เก็บจากสถานที่จำหน่ายในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดนนทบุรี จำนวน 12 ตัวอย่าง  และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี เก็บจากอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จำนวน 3 ตัวอย่าง รวมทั้งหมด 15 ตัวอย่าง  ตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางเคมี ได้แก่ วัตถุกันเสีย สารให้ความหวาน  สีสังเคราะห์ และตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางจุลชีววิทยาได้แก่ เชื้อโรคอาหารเป็นพิษ  และจุลินทรีย์บ่งชี้สุขลักษณะโดยห้องปฏิบัติการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559

ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางเคมี  จากทั้งหมด 15 ตัวอย่างไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด 2 ตัวอย่าง (ร้อยละ 13) พบว่ามีการใช้วัตถุกันเสีย จำนวน 6 ตัวอย่าง ซึ่งมีเพียง 1 ตัวอย่างที่ใช้วัตถุกันเสียเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยพบปริมาณกรดเบนโซอิค 312 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และกรดซอร์บิค 228  มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (กฎหมายกำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิครวมกับกรดซอร์บิคในเครื่องดื่มได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)  และมีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดซัคคาริน จำนวน 4 ตัวอย่าง ปริมาณที่พบ อยู่ในช่วง 13-32.7 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด (ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)  สำหรับตัวอย่างที่เก็บจากจังหวัดสระบุรี จำนวน 3 ตัวอย่าง ตรวจพบซัคคาริน และสีสังเคราะห์ในทุกตัวอย่าง แต่สีที่ตรวจพบเป็นสีสังเคราะห์ที่อนุญาตให้ใช้ ได้แก่ Tartrazine, Sunset yellow FCF, Ponceau 4R อย่างไรก็ตาม มี 1 ตัวอย่างที่ใช้ปริมาณสีเกินเกณฑ์กำหนดโดยพบว่ามีการใช้ Tartrazine 50.1 ร่วมกับ Ponceau 4R 5.7 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม  (กฎหมายกำหนดให้มีสี Tartrazine รวมกับ  Ponceau 4R ได้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)

สำหรับการตรวจคุณภาพทางจุลชีววิทยา จากทั้งหมด 15 ตัวอย่าง ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกตัวอย่าง เนื่องจากตรวจพบจุลินทรีย์บ่งชี้สุขลักษณะเกินมาตรฐาน คือ ตรวจพบปริมาณยีสต์และราเกินในทุกตัวอย่าง พบโคลิฟอร์มเกินมาตรฐาน 9 ตัวอย่าง และพบอีโคไล 6 ตัวอย่าง แต่ทุกตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  กล่าวว่า โดยปกติแล้วน้ำส้มคั้นสดๆ ถ้าตั้งทิ้งไว้จะมีตะกอนเนื้อส้มอยู่ด้านล่าง หากไม่มีตะกอนเลย เป็นน้ำสีส้มใสๆ อาจเป็นน้ำส้มผสม เมื่อเปิดขวดแล้วให้ลองดมกลิ่น ถ้าเป็นน้ำส้มคั้นสดจะมีกลิ่นส้มธรรมชาติ หากไม่มีกลิ่นอะไรเลย หรือกลิ่นจางมากๆ ไม่ใช่น้ำส้มคั้นสด เพราะน้ำส้มคั้นสดทั่วไปต้องมีสี กลิ่น รสตามธรรมชาติของส้ม และหากดื่มแล้วรู้สึกว่ารสชาติแปลกๆ ควรทิ้งไป

กรมวิทย์ฯ หนุนยาสมุนไพรไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานสากล



      กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมโรงพยาบาลรัฐพัฒนาคุณภาพยาจากสมุนไพรให้ได้มาตรฐานสากล  พร้อมจัดทำตำรายามาตรฐานสมุนไพรไทย เพื่อใช้อ้างอิงการขึ้นทะเบียนและควบคุมคุณภาพตำรับยาสมุนไพร ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในคุณภาพยาสมุนไพรไทย
       นายแพทย์อภิชัย  มงคล  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ (บ่ายวันนี้ 9 มิ.ย. 2559) ว่า ปัจจุบันแนวโน้มการใช้ยาสมุนไพรในประเทศไทยมีมากขึ้น คิดเป็นมูลค่าการใช้ราวปีละ 10,000 ล้านบาท อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายการใช้สมุนไพรแห่งชาติ เพื่อทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบันให้มากขึ้น เป็นการสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยาสมุนไพรไทยมีโอกาสและความท้าทายที่สำคัญในการให้บริการสาธารณสุขและเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการได้ตระหนักถึงความสำคัญ จึงได้ส่งเสริมให้โรงพยาบาลของรัฐในการพัฒนาสมุนไพรไทยให้มีคุณภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
        อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นอีกหนึ่งโรงพยาบาล ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก ได้เข้าไปให้การสนับสนุนโดยการตรวจประเมินและควบคุมคุณภาพวัตถุดิบสมุนไพร การตรวจสอบปริมาณสารสำคัญ การตรวจสอบการปนเปื้อนโลหะหนัก เชื้อจุลินทรีย์ ยาฆ่าแมลง ทั้งในรูปแบบผงยาสมุนไพรที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของการผลิตยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรสำเร็จรูป  มีการตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพสมุนไพรสำเร็จรูป เพื่อดูความก้าวหน้าในการปรับปรุงสถานที่ผลิตวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพร ให้ได้ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยาจากสมุนไพร (GMP) พร้อมได้ให้คำแนะนำและแนวทางการปรับปรุงแก้ไข ส่งผลให้ รพ.พิชัยรับการตรวจประเมินผ่านมาตรฐานการผลิตยาแผนโบราณจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และได้ดำเนินการผลิตยาสมุนไพรให้กับโรงพยาบาลทั้งในและต่างจังหวัด เช่น โครงการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โครงการผลิตยาเพื่อออกหน่วย พอ.สว. เป็นต้น นอกจากนี้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก ได้ร่วมกับ รพ.พิชัย ในการดำเนินการส่งเสริมการใช้สมุนไพรในท้องถิ่นให้คุ้มค่า โดยการส่งเสริมให้ รพ.ผลิตผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและเครื่องสำอางผสมสมุนไพรขึ้นใช้ในโรงพยาบาล และหอพักผู้ป่วยให้ได้คุณภาพ เช่น สบู่ แชมพู ยาสีฟัน เจลล้างมือ เป็นต้น เพื่อลดต้นทุนการสั่งซื้อและเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอีกด้วย
                "ที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการจัดทำตำรามาตรฐานสมุนไพรไทย (Thai Herbal Pharmacopoeia) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบสมุนไพร และเป็นมาตรฐานอ้างอิงเพื่อการส่งออกนำเข้าสมุนไพร รวมทั้งใช้อ้างอิงการขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนโบราณและยาพัฒนาจากสมุนไพร  โดยตำราดังกล่าวได้บรรจุอยู่ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุตำรายา พ.ศ.2556 เพื่อบังคับใช้เป็นตำรายาอ้างอิงของประเทศ   ซึ่งปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงดำเนินการจัดทำตำรามาตรฐานยาสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง ให้ครอบคลุมชนิดของยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นตามบัญชียาหลักแห่งชาติ  และในปัจจุบันแนวโน้มการใช้สมุนไพรในเครื่องสำอางมีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงพัฒนาวิธีวิเคราะห์สมุนไพรในเครื่องสำอางและต้องการให้ผู้ประกอบการ SME ที่ผลิตเครื่องสำอางมีความเข้าใจในเรื่องของคุณภาพและการผลิตเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เช่น มะหาด มะขาม มะรุม มะพร้าว และทับทิม” นายแพทย์อภิชัยกล่าว

กรมวิทย์ฯ สนองนโยบายรัฐเพิ่มศักยภาพวิสาหกิจชุมชนด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย

                กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เร่งส่งเสริมความรู้ ด้านการผลิตและการควบคุมคุณภาพเครื่องสำอางที่ผสมสมุนไพรไทย ให้กับผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำและการรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ


                นายแพทย์อภิชัย  มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่าจากนโยบายรัฐบาลพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ได้มีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการภาครัฐ และมียุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ โดยมีการพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณภาพสมุนไพรด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนขึ้นเมื่อปี 2558 เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจากการดำเนินการดังกล่าว พบว่าวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ยังมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน มีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ และการปนเปื้อนทางเคมี เมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานที่ผลิตพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน มีสาเหตุมาจากผู้ผลิตบางส่วนขาดความรู้ทางด้านวิชาการในการผลิตเครื่องสำอางที่ถูกต้อง
                จากข้อมูลปัญหาดังกล่าว กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย จึงได้ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดทำโครงการ “ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการผลิตและการควบคุมคุณภาพเครื่องสำอางผสมสมุนไพร” ขึ้น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องสำอางผสมสมุนไพรในระดับชุมชน หรือ SME ให้มีความรู้ในการผลิต โดยหลักสูตรการอบรมประกอบด้วยการเตรียมสูตรตำรับ เทคโนโลยีการแปรรูปสมุนไพร รวมทั้งการควบคุมคุณภาพเครื่องสำอางผสมสมุนไพรให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และมาตรฐานกำหนด เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ นำสินค้ามาจัดแสดงเพื่อขอรับคำแนะนำและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอีกด้วย


                นายแพทย์อภิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การอบรมดังกล่าวจะจัดทั้งหมด 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือที่ จ.พิษณุโลก ภาคกลางที่ จ.สมุทรสงคราม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.อุดรธานี และภาคตะวันออกที่ จ.ชลบุรี ซึ่งได้รับการสนับสนุนวิทยากรจากหลายภาคส่วน ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งจากหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด เป็นต้นโดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมอบรมจากทั้ง 4 ภาค รวมทั้งสิ้นกว่า 140 กลุ่ม และจากการอบรมครั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนากระบวนการผลิตเครื่องสำอางผสมสมุนไพร และวัตถุดิบสมุนไพรให้มีคุณภาพ ส่งผลให้สินค้ามีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน รวมทั้งเกิดเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ ผู้ผลิตวัตถุดิบ และผู้จำหน่าย ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดในกลุ่มอาเซียนต่อไป 


กรมวิทย์ฯ โชว์นวัตกรรมลีโอแทรปทางเลือกใหม่ในการกำจัดยุง



                กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผยแมลงและสัตว์หลายชนิดสามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อม และดื้อต่อสารเคมี ก่อให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในการควบคุมและป้องกันโรคจากแมลงและสัตว์ พร้อมโชว์นวัตกรรม "กับดักไข่ยุงลีโอแทรป"(Leo-Trap)ล่อให้ยุงเข้ามาวางไข่เพื่อกำจัดลูกน้ำตัดวงจรชีวิตยุงลายพาหะโรคไข้เลือดออกและไข้ซิก้า

                นพ.อภิชัย  มงคล  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การป้องกันกำจัดแมลงและสัตว์อื่นที่เป็นปัญหาสาธารณสุข โดยอาศัยองค์ความรู้และนวัตกรรมจากการวิจัย" ณ โรงแรมเดอะไทด์ รีสอร์ท จ.ชลบุรี ว่า ชีววิทยาของแมลงและสัตว์แต่ละชนิดจะปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  และสิ่งมีชีวิตหลายชนิดยังสามารถปรับตัวจนเกิดการดื้อต่อสารเคมีได้อีกด้วย ซึ่งมีสัตว์และแมลงบางชนิดเป็นปัญหาทางสาธารณสุข ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น ไข้เลือดออก ไข้ซิก้า ไข้มาลาเรีย ไข้สมองอักเสบ ลิชมาเนียและโรคภูมิแพ้ต่างๆ เป็นต้น ประกอบกับ   สภาพภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีลักษณะอากาศและอุณหภูมิที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแมลงเป็นอย่างดี จึงมักประสบปัญหาสาธารณสุขที่เกิดจากแมลงที่มีอยู่หลายชนิด ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การให้ความรู้แก่ประชาชนจนสามารถดำเนินการควบคุมและป้องกันการกำจัดแมลงได้ด้วยตนเอง  ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน  ปรับกลยุทธ์  การกำจัดแมลงที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุข โดยการบูรณาการความรู้ที่เป็นปัจจุบันและเทคนิคที่ทันสมัยใน  การป้องกันและกำจัดแมลงที่สำคัญทางการแพทย์ พร้อมถ่ายทอดความรู้ไปยังชุมชน ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น
                นพ.อภิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อกำจัดแมลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดนักวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนานวัตกรรมกับดักไข่ยุงลีโอแทรป (Leo-Trap) ขึ้น มีหลักการทำงาน คือใช้สารสกัดจากหอยลายที่ยุงชอบ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์สารดึงดูดใส่ไว้เป็นตัวล่อยุงให้บินเข้ามาในกับดัก ซึ่งได้ออกแบบกับดักคล้ายโอ่งสีเขียวและดำ มีฝาให้เกิดร่มเงานำไปทดสอบในสภาพธรรมชาติ จนกระทั่งพบว่ากับดักสีดำที่มีฝาสูง ภายในมีซีโอไล้ท์กำจัดลูกน้ำยุงลาย สามารถดึงดูดยุงเข้ามาติดกับดักและวางไข่มากที่สุด ถ้าใช้กับดัก 1 สัปดาห์จะช่วยกำจัดลูกน้ำยุงได้ประมาณ 500 ตัว   แม่ยุง 1 ตัวจะวางไข่ได้ 300-500 ฟอง จึงสามารถตัดวงจรการเกิดโรคที่นำโดยยุงลายได้ ขณะนี้นวัตกรรม     "กับดักไข่ยุงลีโอแทรป" อยู่ระหว่างยื่นขอจดนวัตกรรมไทยเพื่อนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนสามารถซื้อหามาใช้ได้เอง ลีโอแทรปจีงเป็นทางเลือกใหม่ของประชาชนในการนำไปใช้กำจัดยุงลายได้ด้วยตนเอง

THAILAND HOSTED THE 4th VIDEO CONFERENCE ON GLOBAL HEALTH SECURITY AGENDA (GHSA): DETECT 1: NATIONAL LABORATORY SYSTEM


Chaired by Dr. Apichai Mongkol, Director General of the Department of Medical Sciences, Ministry of Public Health, Thailand, 7 pm (Thailand Time),  31 May 2016, the video conference was attended by representatives of all lead countries of GHSA: Detect 1 including USA, South Africa,  and Thailand as well as WHO and USAID, highlights are as follows;


1. Discussed and supported the draft Regional Strategic Roadmap on Laboratory Strengthening [2016- 2020] proposed by Thailand aiming for providing countries a general guidance to countries in developing the National Roadmap on GHSA: Detect 1 and serving as a monitoring framework;
2.  Noted an update on the 1st Regional Workshop to be held in Bangkok, Thailand on 27 29 July 2016  which expecting about 100-120 participants from lead countries, contributing countries, ASEAN and SAARC countries, as well as key development partners; and
3 Noted an update on the Face-to-Face Meeting of Lead Countries on 28 July 2016, Bangkok, Thailand as a platform to discuss and provide direction in accelerating an implementation of the Regional Strategic Roadmap on Laboratory System Strengthening [2016-2020].

GHSA, launched in 2014 to promote global health security as an international security priority, aims to enhance and complement an implementation of an International Health Regulation 2005 through identified 11 Action Packages. Among others, Thailand takes leadership on the two Action Packages including “Detect 1: National Laboratory System Strengthening” “Detect 5: Workforce Development”.

Contacted Person
MrKanate Temtrirath
Department of Medical Sciences, Ministry of Public Health
88/7 Tiwanon RdAmphoe Muang, Nonthaburi, Thailand 11000
Tel: 02 589 0022, 02 951 000

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เตือนอันตรายจากเห็ดพิษ


       ศูนย์พิษวิทยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผยในแต่ละปีได้รับตัวอย่างเห็ดพิษที่ส่งมาตรวจจำนวนมาก พบว่าไม่สามารถแยกความแตกต่างของเห็ดพิษได้จากลักษณะภายนอก เพราะเห็ดพิษและเห็ดรับประทานได้บางชนิดคล้ายคลึงกันมาก  โดยเฉพาะระยะดอกอ่อน ปัจจุบันจึงได้พัฒนาวิธีการตรวจพิสูจน์สายพันธุ์เห็ดพิษ โดยใช้เทคนิคดีเอ็นเอบาร์โค้ด (DNA barcoding) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ในการระบุชนิดของสิ่งมีชีวิตได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำสูง เชื่อถือได้ และเตรียมต่อยอดพัฒนาเป็นชุดทดสอบเห็ดพิษเบื้องต้น

     นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ในแต่ละปีช่วงต้นฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว หรือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน ชาวบ้านนิยมเก็บเห็ดป่ามาประกอบอาหาร รวมทั้งการนำไปขาย เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว ส่งผลให้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีผู้ป่วยและเสียชีวิตจากการรับประทานเห็ดมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า เห็ดที่เก็บมานั้นไม่มีพิษ โดยใช้ความรู้พื้นบ้านที่บอกต่อกันมา แต่ตามลักษณะภายนอกของเห็ดพิษและเห็ดที่รับประทานได้บางชนิด  มีความคล้ายคลึงกันมาก โดยเฉพาะระยะดอกอ่อนของเห็ด จะไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ด้วยตาเปล่า อีกทั้งความรู้และความเชื่อที่สอนสืบทอดกันมาในการทดสอบเห็ดพิษ เช่น การนำข้าวสารมาต้มกับเห็ดถ้าเป็นพิษข้าวสารจะสุกๆ ดิบๆ หรือการสังเกตดอกเห็ด  ที่มีรอยแมลงหรือสัตว์กัดกินจะเป็นเห็ดไม่มีพิษนั้น วิธีการเหล่านี้ไม่สามารถให้ผลถูกต้องทั้งหมด จึงไม่ควรนำมาปฏิบัติ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

      ศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ประเมินสถานการณ์การเกิดพิษ  จากการรับประทานเห็ดพิษในประเทศไทย ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2551-2558 อุบัติการณ์ดังกล่าวพบมากในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เห็ดพิษมีหลายชนิด บางชนิดมีพิษร้ายแรงถึงตาย เช่น เห็ดระโงกหิน ซึ่งปริมาณสารพิษที่สามารถทำให้คนตายได้เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เทียบเท่ากับการรับประทานเห็ดสดประมาณครึ่งดอก จัดว่าเป็นสารพิษในเห็ดร้ายแรงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นการต้ม ทอด ย่าง ไม่สามารถทำลายพิษได้ เนื่องจากพิษทนความร้อน เห็ดบางชนิดมีพิษทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เช่น เห็ดหัวกรวดครีบเขียว เห็ดบางชนิดรับประทานเพียงเล็กน้อยทำให้เกิดจินตนาการเป็นภาพหลอนคล้ายยาเสพติด เช่น เห็ดขี้วัว นอกจากนี้ยังมีเห็ดบางชนิดที่โดยปกติตัวเห็ดเองไม่มีพิษ แต่อาการพิษจะปรากฏเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ภายใน 24-72 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังรับประทานเห็ดชนิดนั้น จะมีอาการหน้าแดง ปวดหัวรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน หายใจเร็วและหายใจลำบาก หัวใจเต้นแรง เห็ดที่พบสารพิษชนิดนี้ ได้แก่ เห็ดน้ำหมึก เป็นต้น
       อาการของผู้ป่วยที่รับประทานเห็ดพิษจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของเห็ดว่ามีสารพิษอยู่ในกลุ่มใด อาจจะเกิดขึ้นภายหลัง การกินไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมงหรือหลายวัน หรือในรายที่อาการรุนแรงจะเสียชีวิตภายใน 1-8 วัน สาเหตุเกิดจากการที่ตับและไตถูกทำลาย ดังนั้นวิธีการช่วยเหลือที่สำคัญ คือ ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาให้มากที่สุด โดยดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือแกงแล้วล้วงคอให้อาเจียนออกมา เพื่อลดการดูดซึมพิษเข้าสู่ร่างกาย แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านทันที พร้อมทั้งนำตัวอย่างเห็ดสด (ถ้ามี) ที่เหลือจากการปรุงอาหารที่รับประทานไปด้วย เพื่อส่งตรวจพิสูจน์สารพิษและสายพันธุ์เห็ดพิษ
        นายแพทย์อภิชัย กล่าวต่ออีกว่า ศูนย์พิษวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ได้พัฒนาวิธีการตรวจสายพันธุ์เห็ดพิษ  โดยใช้เทคนิคดีเอ็นเอบาร์โค้ด (DNA barcoding) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้ในการระบุชนิดของสิ่งมีชีวิต โดยใช้ชิ้นส่วนดีเอ็นเอมาตรฐานเทียบกับฐานข้อมูลอ้างอิงทางพันธุกรรม ซึ่งผลการศึกษาการใช้เทคนิคดังกล่าวพบว่าให้ผลวิเคราะห์สายพันธุ์เห็ดพิษที่ถูกต้องแม่นยำสูงและเชื่อถือได้ เทียบเท่าการตรวจด้วยเครื่องมือชั้นสูง LC-MS นอกจากนี้ยังช่วยค้นพบสายพันธุ์เห็ดพิษที่ไม่เคยมีรายงานการพบในประเทศไทยมาก่อน จัดทำเป็นฐานข้อมูลทางพันธุกรรมระดับโมเลกุลของเห็ดพิษในประเทศไทยและจะมีการพัฒนาเป็นชุดทดสอบเห็ดพิษเบื้องต้นต่อไป

กรมวิทย์ฯ ใช้เทคนิคใหม่ตรวจจำแนกเชื้อแบคทีเรีย/เชื้อรา รู้ผลเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข  เตรียมความพร้อมรับภัยคุกคามด้านสุขภาพจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ก่อโรคในคน  โดยนำเทคนิคการตรวจจำแนกแบบใหม่ด้วยเครื่อง MALDI-TOF  MS สามารถตรวจวินิจฉัยจำแนกเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว ได้ผลถูกต้อง แม่นยำ ประหยัดงบประมาณ และช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาปฏิชีวนะได้อย่างเหมาะสม

นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้นำเทคนิคใหม่ในการจำแนกเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราด้วยเครื่อง Matrix-Assisted Laser Desorption/ Ionization Time-of-Flight Mass Spectrometry (MALDI-TOF MS) สามารถทำการตรวจจำแนกเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ โดยการตรวจนี้สามารถนำโคโลนีของเชื้อที่ได้จากการเพาะเชื้อจากสิ่งส่งตรวจด้วยวิธีมาตรฐานมาทำการจำแนกด้วยเครื่อง MALDI-TOF MS ซึ่งใช้เวลาตรวจเพียง 3-5 นาทีเท่านั้น ทั้งนี้ผลการจำแนกจะได้จากการวิเคราะห์ Spectrum ของเชื้อเปรียบเทียบกับ Spectrum ของเชื้อจากฐานข้อมูลมาตรฐานชื่อว่า SARAMAS โดยฐานข้อมูลนี้มี Spectrum ของเชื้อมากกว่า 1,500 สายพันธ์ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องและได้เพิ่มฐานข้อมูลของเชื้อโรคเขตร้อนให้มากขึ้น นับเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
                ปัจจุบัน ประเทศชั้นนำของโลก อาทิ อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นได้นำเทคนิคนี้มาใช้ในการจำแนกเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา เพราะมีความถูกต้อง แม่นยำ มีความรวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าวิธีอื่นมาก ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เลือกใช้ยาปฏิชีวนะได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เป็นการลดปัญหาเชื้อดื้อยา
                อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาการจำแนกเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราก่อโรคในคนทางห้องปฏิบัติการด้วยการทดสอบทางชีวเคมีแบบดั้งเดิมนั้นมีความยุ่งยากและต้องใช้เวลานับตั้งแต่การเพาะแยกเชื้อจากสิ่งส่งตรวจ จนถึงการนำโคโลนีที่เจริญบนอาหารเลี้ยงเชื้อไปทดสอบใช้เวลา 2-7 วัน ขึ้นกับชนิดของเชื้อ ค่าใช้จ่ายต่อเชื้อประมาณ 150-250 บาท แต่การตรวจด้วยเทคนิค MALDI-TOF MS ใช้ระยะเวลาการตรวจวิเคราะห์เพียง 3-5 นาที และค่าใช้จ่ายเพียง 20 บาทเท่านั้น ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้นำเครื่อง MALDI-TOF MS มาติดตั้งที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข อาคาร 1 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จังหวัดนนทบุรี เพื่อให้บริการตรวจวินิจฉัยเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราก่อโรคในคน ช่วยให้ประชาชนได้รับการรักษาที่รวดเร็ว ถูกต้อง และเหมาะสม ส่งผลให้การป้องกันและควบคุมโรคของพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะที่เกินจำเป็น เป็นการช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาของประเทศได้นอกจากนี้เทคนิคนี้ลดการใช้มีเดียหรืออาหารเลี้ยงเชื้อลงอย่างมากจึงช่วยรักษาสภาพแวดล้อมอีกด้วย

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระวังอันตรายจากการปนปลอมยาแผนปัจจุบันในอาหารและเครื่องดื่ม

      กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานต่างๆ เฝ้าระวังการใช้ยาแผนปัจจุบันในอาหาร โดยการตรวจวิเคราะห์ยาแผนปัจจุบันที่อาจมีการนำมาใช้ผสมในอาหาร เพื่อให้มีสรรพคุณตามที่กล่าวอ้างโดยตรวจ 7 กลุ่ม ได้แก่ ยาลดน้ำหนัก ยาเบนโซไดอะซีปีนส์ ยาสเตียรอยด์ ยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ยาลดความอยากอาหาร ยาระบาย และวัตถุออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

       นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ต้องการให้ผู้บริโภคมีการบริโภคอาหารที่ถูกต้องและปลอดภัย ในระหว่างปี พ.ศ. 2556-2558 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหน่วยงานต่างๆ เฝ้าระวังการใช้ยาแผนปัจจุบันในอาหาร โดยเก็บตัวอย่างอาหารและเครื่องดื่มที่อาจจะมีการนำยาแผนปัจจุบันมาผสม จำนวนทั้งสิ้น 1,160 ตัวอย่าง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นกาแฟสำเร็จรูปชนิดผง 391 ตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 690 ตัวอย่าง เครื่องดื่ม 49 ตัวอย่าง และอาหารอื่นๆ 30 ตัวอย่าง ผลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้
กาแฟสำเร็จรูปชนิดผง จำแนกเป็น กลุ่มยาลดน้ำหนัก ตรวจวิเคราะห์ 304 ตัวอย่างพบไซบูทรามีน 44 ตัวอย่างคิดเป็นร้อยละ 14.5 กลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ตรวจวิเคราะห์ 103 ตัวอย่าง พบ 27 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 26.2 โดยพบซิลเดนาฟิล 26 ตัวอย่าง และทาดาลาฟิล 1 ตัวอย่าง กลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีนส์   ตรวจวิเคราะห์ 155 ตัวอย่าง พบลอราซีแพม 1 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 0.6  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จำแนกเป็น กลุ่มยาลดน้ำหนัก ตรวจวิเคราะห์ 609 ตัวอย่าง พบไซบูทรามีน 122 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 20 กลุ่มยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ตรวจวิเคราะห์ 159 ตัวอย่าง พบ 69 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 43.4 โดยพบซิลเดนาฟิล 40 ตัวอย่าง ทาดาลาฟิล 4 ตัวอย่าง ซิลเดนาฟิลร่วมกับทาดาลาฟิล 20 ตัวอย่าง และซิลเดนาฟิลร่วมกับวาเดนาฟิล  5 ตัวอย่าง กลุ่มยาสเตียรอยด์ ตรวจวิเคราะห์ 51 ตัวอย่าง พบเดกซาเมธาโซน 2 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 3.9  กลุ่มยาระบาย ตรวจวิเคราะห์ 197 ตัวอย่าง พบฟีนอล์ฟทาลีน 1 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 0.5 โดยมีผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารที่ตรวจ พบว่า มียาแผนปัจจุบันถึง 2 กลุ่ม 2 ตัวอย่าง โดยพบไซบูทรามีนร่วมกับทาดาลาฟิล และไซบูทรามีนร่วมกับฟีนอล์ฟทาลีน และเครื่องดื่ม จำแนกเป็น กลุ่มยาสเตียรอยด์ตรวจวิเคราะห์ 28 ตัวอย่าง พบเดกซาเมธาโซน 6 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 21.4

        นายแพทย์อภิชัย กล่าวต่ออีกว่า การบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มียาแผนปัจจุบันผสมอยู่จะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค จากผลข้างเคียงของยาหรือปริมาณยาที่ได้รับเกินขนาดและอาจทำให้เสียชีวิตได้ เช่น ผู้ใช้ยาลดน้ำหนัก ที่มีการใช้ไซบูทรามีน มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจวายและเส้นโลหิตในสมองแตก หรือผู้ใช้ยาลดความอยากอาหารที่มีการใช้เฟนฟลูรามีนอาจก่อให้เกิดภาวะความผิดปกติของลิ้นหัวใจ หรือผู้ใช้ยารักษา โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศอาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ อาจมีอาการหัวใจวาย เส้นโลหิตในสมองแตก อาหารที่มีการผสมยาแผนปัจจุบันจัดว่าเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์และจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามสำหรับผู้บริโภคที่ประสงค์จะบริโภคอาหารดังกล่าวต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อ ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาและหากบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มดังกล่าวแล้วเกิดอาการผิดปกติ ควรหยุดการบริโภคทันที และรีบไปพบแพทย์  สุขภาพดีเริ่มต้นที่ตัวเราเอง โดยใช้หลักการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกายและนอนพักผ่อนให้เพียงพอ

เตือนผู้บริโภคระวังอันตรายจากการใช้ยาลดน้ำหนัก

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เตือนผู้บริโภคระวังอันตรายจากการใช้ยาลดน้ำหนัก หลังตรวจพบยาลดน้ำหนักมีส่วนผสมของยาอันตราย และยาควบคุมพิเศษ หากใช้ไม่ระวังอันตรายถึงชีวิต
นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การใช้ยาเพื่อลดน้ำหนักเป็นปัญหาที่พบมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชน ในช่วงเดือนตุลาคม 2558 – มกราคม 2559 สำนักยาและวัตถุเสพติดได้ทำการตรวจวิเคราะห์ของกลาง จำนวน 70 ตัวอย่าง พบตัวอย่างที่มีส่วนผสมของยาแผนปัจจุบัน เป็นยาอันตราย 43 ตัวอย่าง และยาควบคุมพิเศษ 8 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่ที่ตรวจพบคือยาไซบูทรามีน ซึ่งยาไซบูทรามีนจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น มีฤทธิ์ลดความอยากอาหาร สำหรับยาอันตราย และยาควบคุมพิเศษอื่นๆ ที่ตรวจพบ ดังนี้ ยาในกลุ่มแอมเฟตามีน เช่น เฟนเทอร์มีน ซึ่งจะออกฤทธิ์กระตุ้นศูนย์ควบคุมความอิ่ม ทำให้เกิดการเบื่ออาหาร แต่ยานี้ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่มีโรคไทรอยด์เป็นพิษ เพราะอาจจะส่งผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเป็นอันตรายกับผู้ป่วยได้ ยาระบาย บิสซาโคดิล ยาขับปัสสาวะ ฟูโรซีไมด์ ผู้ใช้ยาดังกล่าวจะรู้สึกผอมลงเร็ว เนื่องจากน้ำหนักลดหลังจากใช้ยา แต่ผลข้างเคียงคือร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ยารักษาโรคซึมเศร้าและอาการในกลุ่มโรควิตกกังวล ฟลูโอซีทีน ซึ่งมีผลข้างเคียงในการช่วยทำให้ไม่อยากอาหาร
      นพ.อภิชัย กล่าวต่ออีกว่า ตัวอย่างที่ตรวจพบ บางครั้งอยู่ในรูปแบบของยาที่จัดเป็นชุด ซึ่งประกอบด้วยไซบูทรามีน เฟนเทอร์มีน และบิสซาโคดิล บางตัวอย่างจัดเป็นชุดร่วมกับวิตามินเพื่อลดผลข้างเคียงจากการรับประทานอาหารน้อยลงและการใช้ยาระบาย  นอกจากนี้ในยาชุดบางตัวอย่างมียานอนหลับรวมอยู่ด้วย เช่น ไดอาซีแปม เนื่องจากผลข้างเคียงของยากลุ่มแอมเฟตามีน จะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้นอนไม่หลับ จึงมีการจ่ายยานี้ร่วมด้วย  ซึ่งยาที่ได้กล่าวมาทุกชนิดจะมีอาการข้างเคียง และอาจก่อให้เกิดอันตรายจากการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องได้
       นอกจากนี้ยังพบการนำไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำกว่าปกติ มาใช้ลดน้ำหนัก ซึ่งยานี้มีผลเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลงเร็ว แต่มีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เพราะไทรอยด์ฮอร์โมนจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นมากกว่าเดิม และไม่เต็มจังหวะ ทำให้แต่ละครั้งของการเต้นสูบฉีดเลือดได้น้อยลง จึงมีความเสี่ยงสูงกับคนที่มีปัญหาภาวะหัวใจ “ยาที่กล่าวมาข้างต้นหากใช้โดยแพทย์ในขนาดที่ถูกต้องก็ยังเป็นยาที่มีประโยชน์มากในทางการแพทย์ แต่ถ้ามีการนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยไม่เข้าใจถึงอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นก็สามารถทำให้ผู้ใช้เกิดอันตรายได้” นพ.อภิชัย กล่าวทิ้งท้าย